อัพเดทล่าสุด: 14 ต.ค. 2023
970 ผู้เข้าชม
โรคภูมิแพ้อาหารแฝง (Food intolerance) เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับการย่อยอาหารบางชนิด ซึ่งแตกต่างจากการแพ้อาหารโดยตรง (Food Allergy) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันต่ออาหารโดยตรงซึ่งอันตรายถึงชีวิต ขณะที่ โรคภูมิแพ้อาหารแฝง (Food intolerance) พบได้บ่อยกว่าและมักไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
โรคภูมิแพ้อาหารแฝง เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันที่สร้าง แอนติบอดี IgG ซึ่งเป็นสารภูมิคุ้มกันที่ถูกสร้างเพื่อตอบสนองต่ออาหารภายในลำไส้ แม้ว่าแอนติบอดี IgG ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้อาหารโดยตรง (Food Allergy) แต่งานวิจัยส่วนหนึ่งแสดงให้เห็นว่าแอนติบอดี IgG อาจมีบทบาทต่อความไวต่อโรคภูมิแพ้อาหารแฝง (Food intolerance)
สาเหตุของโรคภูมิแพ้อาหารแฝง มีหลายประการ ได้แก่:
- การขาดเอนไซม์ย่อยอาหาร (Enzyme deficiency): การขาดเอนไซม์ที่จำเป็นในการย่อยอาหารบางชนิด ตัวอย่างเช่น โรคแพ้นมวัวหรือการแพ้น้ำตาลแลคโตส เกิดจากการขาดเอนไซม์แลคเตส ซึ่งจำเป็นในการย่อยแลคโตส ที่เป็นน้ำตาลที่พบได้ในนมและผลิตภัณฑ์จากนม
- ความไวต่ออาหาร (Food sensitivity): การไวต่อสารเคมีบางชนิดในอาหาร เช่น ฮิสตามีน เอมีน หรือไทรามีน สารเคมีเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการทางเดินอาหาร เช่น การมีแก๊ส ท้องอืด และท้องเสีย
- ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal disorders): ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารบางอย่าง เช่น โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) หรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory bowel disease) อาจมีแนวโน้มที่จะมีอาการแพ้อาหารบางชนิดได้มากกว่า
ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal disorders) และโรคภูมิแพ้อาหาร (Food intolerance) มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ผลการวิจัยที่เพิ่มมากขึ้นชี้ให้เห็นว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างแอนติบอดี IgG ที่จำเพาะต่ออาหารกับความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร ตัวอย่างเช่น การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Nutrition พบว่าแอนติบอดี IgG ที่จำเพาะต่ออาหารที่เพิ่มขึ้น มีความสัมพันธ์กับตัวบ่งชี้ทางชีวภาพในการซึมผ่านของลำไส้ (Intestinal permeability) หรือ โรคลำไส้รั่ว (Leaky gut syndrome) ที่เพิ่มขึ้นในผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวน (IBS)
โดยโรคลำไส้รั่ว (Leaky gut syndrome หรือ increase intestinal permeability) เป็นภาวะที่รอยต่อระหว่างเซลล์ที่มีความแน่นหนาในเยื่อบุลำไส้เกิดความผิดปกติ ทำให้โมเลกุลและสารพิษขนาดใหญ่สามารถผ่านเข้าสู่กระแสเลือด กระตุ้นทำให้เกิดการทำงานที่ปกติของภูมิคุ้มกันในร่างกาย นำไปสู่ปัญหาสุขภาพหลายประการ ได้แก่ โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) รวมถึงการอักเสบต่างๆ โรคแพ้ภูมิตนเอง และอาการไวต่ออาหารบางชนิด
จากการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าแอนติบอดี IgG ที่จำเพาะต่ออาหารอาจมีบทบาทในการทำให้เกิดการซึมผ่านของลำไส้ (Intestinal permeability) ที่ผิดปกติ ที่อาจเป็นสาเหตุของ โรคลำไส้แปรปรวน (IBS)
อาการที่อาจแสดงว่ามีโรคภูมิแพ้อาหารแฝง (Food intolerance)
อาการของความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารที่เกี่ยวข้องกับแอนติบอดี IgG ที่จำเพาะต่ออาหารอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล อาการทั่วไปบางประการ ได้แก่:
o ระบบประสาท : ไมเกรน ปวดหัว และพฤติกรรมอารมณ์ซึมเศร้า
o ระบบสุขภาพจิต: ความเมื่อยล้าและสมาธิสั้น
o ระบบทางเดินหายใจ : โรคจมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ และโรคหอบหืด
o ระบบกล้ามเนื้อ : โรคไขข้อ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ
o ระบบทางเดินอาหาร : อาเจียน ท้องอืด ตะคริวที่ท้อง คลื่นไส้ ท้องผูก ท้องเสีย ปัญหาการควบคุมน้ำหนัก และอาการจุกเสียด
o ระบบผิวหนัง : ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ ภูมิแพ้ กลาก ผื่นคันและอื่น ๆ
การตรวจวินิจฉัย โรคภูมิแพ้อาหารแฝง (Food intolerance)
ไม่ได้มีการทดสอบใดที่สามารถวินิจฉัยการแพ้อาหารได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม อาจจำเป็นต้องใช้ข้อมูลหลายๆอย่าง เพื่อช่วยในการวินิจฉัย ได้แก่:
- ประวัติและการตรวจร่างกาย: ในระหว่างการตรวจร่างกาย แพทย์จะสอบถามอาการและประวัติการรักษาของคุณ เพื่อค้นหาสัญญาณของโรคประจำตัว
- ไดอารี่อาหาร (Food diary): การเขียนไดอารี่อาหารสามารถช่วยให้คุณติดตามอาการและระบุอาหารเฉพาะที่ดูเหมือนจะกระตุ้นให้เกิดอาการได้
- การจำกัดอาหาร (Elimination): การกำจัดอาหารเกี่ยวข้องกับการนำอาหารบางอย่างออกจากอาหารของคุณเป็นระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นค่อย ๆ แนะนำอาหารเหล่านั้นอีกครั้งเพื่อดูว่าพวกมันทำให้เกิดอาการหรือไม่
- การตรวจแอนติบอดี IgG ที่มีต่ออาหารแต่ละชนิด (Food intolerance test) โดยเฉพาะ: เป็นการทดสอบที่ใช้ตัวอย่างเลือดเล็กน้อยเพื่อตรวจหาแอนติบอดีจำเพาะต่ออาหาร IgG ในอาหารหลากหลายประเภท การทดสอบสามารถตรวจจับสารได้ถึง 221 ชนิดในกลุ่มอาหาร 8 กลุ่ม รวมถึงธัญพืช เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม ปลา/อาหารทะเล สมุนไพร/เครื่องเทศ ผลไม้ ถั่ว และผัก ซึ่งการตรวจ Food intolerance test ควรมีอาการและอาหารที่สงสัยว่าก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้อาหารแฝง
การรักษาความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารที่เกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้อาหารแฝง (Food intolerance) การรักษาหลักสำหรับความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารที่เกี่ยวข้อง คือการหลีกเลี่ยงอาหารที่ผู้ป่วยไว โดยอยู่ในการดูแลของแพทย์หรือนักโภชนาการ ที่สามารถช่วยผู้ป่วยพัฒนาโปรแกรมควบคุมอาหารเพื่อระบุอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการได้ คำถามที่พบบ่อย (FAQs)ถาม: การแพ้อาหารโดยตรง (Food allergy) และการแพ้อาหารแฝง (Food intolerance) แตกต่างกันอย่างไร?ตอบ: การแพ้อาหารโดยตรง (Food allergy) คือปฏิกิริยาตอบสนองต่ออาหารโดยอาศัยภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ในขณะที่การแพ้อาหารแฝง (Food intolerance) คือปฏิกิริยาที่ไม่เกิดจากภูมิคุ้มกันต่ออาหาร ซึ่งอาการมักไม่ร้ายแรงถาม: สารก่อภูมิแพ้ในอาหารที่พบบ่อยที่สุดคืออะไร?ตอบ: สารก่อภูมิแพ้ในอาหารที่พบบ่อยที่สุดคือนม ไข่ ถั่วลิสง ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ปลา และสัตว์มีเปลือก ถาม: การแพ้อาหารโดยตรง (Food allergy) มีอาการอย่างไร?ตอบ: อาการของการแพ้อาหารอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและความรุนแรงของปฏิกิริยา อาการที่พบบ่อยได้แก่ ผื่นที่ผิวหนัง ลมพิษ บวม หายใจลำบาก และภูมิแพ้ ถาม: การแพ้อาหารแฝง (Food intolerance) มีอาการอย่างไร?ตอบ: อาการของการแพ้อาหารอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและประเภทของการแพ้อาหาร อาการทั่วไปบางประการ ได้แก่ แก๊ส ท้องอืด ท้องร่วง ปวดท้อง ปวดหัว และปัญหาผิวหนังถาม: การตรวจแอนติบอดี IgG ที่จำเพาะต่ออาหารคืออะไร?ตอบ: แอนติบอดี IgG ที่จำเพาะต่ออาหารคือสารภูมิคุ้มกันที่ผลิตเพื่อตอบสนองต่ออาหารภายในลำไส้ แม้งานวิจัยบางส่วนชี้ให้เห็นว่าแอนติบอดี IgG อาจมีบทบาทต่อการแพ้อาหารแฝง (Food intolerance) อย่างไรก็ตาม การทดสอบภูมิแพ้อาหารแฝง (Food intolerance test) ด้วยการตรวจแอนติบอดี IgG ควรดูภาพรวมทางคลินิกทั้งหมด ก่อนได้รับการวินิจฉัย เนื่องจาก แอนติบอดี IgG อาจขึ้นสูงได้ในคนที่ไม่มีภูมิแพ้อาหารแฝง ดังนั้นก่อนการทดสอบ ควรมีอาการและอาหารที่สงสัยว่าก่อให้เกิดอาการ เพื่อการทดสอบที่แม่นยำมากขึ้น ถาม: การแพ้อาหารโดยตรง (Food allergy) และการแพ้อาหารแฝง (Food intolerance) มีการรักษาอย่างไร?ตอบ: วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการคือการหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาดังกล่าว ผู้ที่แพ้อาหารโดยตรง (Food allergy) ควรพกเครื่องฉีดอะพิเนฟรินอัตโนมัติติดตัวไปด้วย ในกรณีที่สัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจ คนที่แพ้อาหารแฝง (Food intolerance) อาจสามารถทนต่ออาหารกระตุ้นได้ในปริมาณเล็กน้อยโดยไม่แสดงอาการใดๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทำงานร่วมกับแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อพัฒนาอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการ