อัพเดทล่าสุด: 12 ส.ค. 2023
913 ผู้เข้าชม
กล้องส่องทางเดินอาหาร (Endoscopy) เป็นการตรวจพยาธิสภาพ หรือ โรคต่างๆ ในทางเดินอาหารตั้งแต่ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร จนถึงลำไส้ใหญ่ การส่องกล้องเป็นการตรวจที่ปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องพักรักษาตัวหลังส่องกล้อง และทราบผลได้ทันที โดยการตรวจใช้เวลาไม่นาน กล้องส่องทางเดินอาหาร เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นกล้องใยแก้วน้ำแสง (Fiber optic) ที่ถูกทำให้เป็นกล้องยาวขนาดเล็ก ซึ่งแพทย์สามารถบังคับ ให้กล้องขยับโค้งงอได้ตามต้องการ โดยสามารถแบ่งการตรวจออกได้เป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 3 แบบ- การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น (Gastroscopy : EGD) โดยกล้อง มีขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 ซม. โดยแพทย์จะส่องเข้าไปในช่องปาก ผ่านหลอดอาหารเข้าสู่กระเพาะอาหาร จนถึงลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อทำการตรวจ โดยระยะเวลาการส่องกล้องประมาณ 5-10 นาที การส่องกล้องกระเพาะอาหาร มีอยู่ 2 วิธี ได้แก่
- วิธีที่ 1 คือ การพ่นยาชาเฉพาะที่ที่คอ วิธีนี้ ผู้ป่วยยังรู้สึกตัวตลอดระหว่างการส่องกล้อง หลังจากตรวจเสร็จ ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้เลย
- วิธีที่ 2 คือ การฉีดยาสลบ ทำให้หลับ ระหว่างการส่องกล้อง หลังตรวจเสร็จ จะต้องรอประมาณ 2 ชั่วโมง ให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้ดีจากฤทธิ์ยา ถึงจะกลับบ้านได้ อาจมีผลให้อ่อนเพลีย ง่วงนอน หรือมึนงงหลังการตรวจอีกสักพัก จึงควรพักผ่อนมากๆ และมีญาติมาด้วย
- การส่องกล้องลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (Colonoscopy) เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 ซม. สามารถตรวจโรคในลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็กส่วนปลายได้ โดยเป็นการตรวจที่ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที ในการตรวจ เป็นการตรวจที่ดีที่สุดสำหรับการตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนั้นหากพบติ่งเนื้องอกในลำไส้ สามารถตัดติ่งเนื้องอกเหล่านั้นได้ในครั้งเดียว แต่เป็นการตรวจที่จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนการส่งกล้องอย่างน้อย 3 วัน
- การส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (Endoscopic Retrograde Cholangiopancreatography : ERCP) สำหรับตรวจและรักษาทางเดินน้ำดี เช่น โรคนิ่วในท่อน้ำดี มะเร็งท่าน้ำดี เป็นต้น
เมื่อไหร่ที่ควรจะพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการตรวจด้วยการส่องกล้อง
- การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น ควรได้รับการตรวจเมื่อ มีอาการ เช่นไรบ้าง
- อาการกรดไหลย้อนที่ทานยาแล้วไม่ดีขึ้น หรือ มีภาวะกลืนลำบาก หรือ กลืนเจ็บ
- อาการปวดจุกแน่นลิ้นปี่ที่สงสัยโรคกระเพาะอาหารที่ทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือ มีอาเจียนเป็นเลือด หรือ อาเจียนตลอด ทานไม่ได้ ที่ส่งสัยว่าเป็นกระเพาะอาหารอักเสบ แผลในกระเพาะ หรือมะเร็งกระเพาะอาหาร
- ภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก หรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
- การส่องกล้องลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ควรได้รับการตรวจเมื่อ มีอาการ เช่นไรบ้าง
- อาการท้องผูก หรือ ท้องเสียเรื้อรัง หรือ ท้องผูกสลับท้องเสีย หรือ อุจจาระไม่สุด หรือมีถ่ายเลือด
- อาการปวดท้องเรื้อรัง หรือท้องอืด
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก
- รวมถึงผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป หรือ ผู้ที่มีประวัติมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัว ที่ต้องการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่
ต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนการส่องกล้อง
- ต้องงดน้ำ – งดอาหาร ประมาณ 6-8 ชม. ก่อนการตรวจ
- ในรายที่เข้ารับการตรวจด้วยกล้องส่องลำไส้ใหญ่ จะมีการเตรียมลำไส้อย่างน้อย 3 วัน รวมถึงมีการทานยาเตรียมลำไส้ ก่อนการส่องกล้อง
- งดยาละลายลิ่มเลือดอย่างน้อย 7 วัน สำหรับบางคนอาจต้องได้รับยาปฏิชีวนะก่อนการส่องกล้องตรวจรักษา
อาการที่เกิดขึ้นหลังจากการส่องกล้อง
- อาจมีอาการแน่นท้อง อืดท้องได้หลังส่องกล้อง ซึ่งสามารถหายไปได้เองในเวลาไม่นาน
- มีอาการปวดท้องน้อย หรือ ทวารหนักได้เล็กน้อย แต่หากมีอาการปวดท้องมาก ท้องแข็ง มีไข้หลังส่องกล่อง ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน
การส่องกล่อง ณ ปัจจุบันมีความแพร่หลายมากขึ้น หลายโรงพยาบาลสามารถทำการตรวจด้วยการส่องกล้องได้ โดยมีทั้งคลินิก โรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลของรัฐบาล ดังนั้นหากมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร และไม่แน่ใจว่าจำเป็นต้องได้รับการส่องกล้องหรือไม่ ท่านสามารถสอบถามที่ โรงพยาบาล หรือ แพทย์เฉพาะทาง